วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พี่สมานกลับบ้าน ตอนที่ 14

พี่สมานมาอยู่กับเราได้เกือบเดือนแล้ว อาการก็ดีขี้นมาก แท้จริงแล้วเกินคาดที่หมอบอกว่าเหลือเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเอง นี่ก็หนึ่งเดือนผ่านไป พี่สมานเป็นนักสู้จริงๆ บางครั้งแทบน้ำตาไหลเมื่อเห็นพี่สมานเจ็บปวดมากๆ แต่พี่สมานก็กัดฟันสู้ สิ่งหนึ่งที่พี่สมานอยู่ได้ก็เพราะกำลังใจและความเชื่อในพระเจ้าของพี่สมานเอง พ่อนึกถึงคนป่วยที่ท้อแท้ใจหมดกำลังใจก็มักจะจากไปเร็ว แต่ถ้าจิตใจเข้มแข็งเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระเจ้าประทานชีวิตไม่ใช่ความตาย เป็นสิทธิ์ของผู้เชื่อที่จะอ้างพระสัญญานี้ได้แน่นอน ไม่ใช่เป็นการบงการพระเจ้าหรือไม่ยอมทำตามน้ำของพระเจ้า แต่มีพระคำของพระเจ้าที่บอกว่า"ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์" ยอห์น 10.10 อันนี้เป็นพระสัญญาจากพระเยซูคริสต์เจ้าโดยตรง ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อเราจะหลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่งทุกประการจากวิญญาณชั่วร้าย เราจึงมั่นใจได้เลยว่ามรดกแห่งพระสัญญานี้พระองค์ได้มอบให้แก่เราแล้วเมื่อ 2000 ปี สู้ๆๆๆ พระเจ้าอยู่เคียงค้างเรา วันนี้ครอบครัวพี่สมานก็มารับพี่สมานกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปดูแลต่อที่โน่น

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมานอืดท้อง ตอนที่ 13


สองสามวันมานี้ สมานบอกว่าอาการเจ็บท้องมากๆจนทนไม่ได้นั้นไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ยังเจ็บนิดๆ แต่ท้องอืดจนไม่อยากทานอะไร พ่อยังทำข้าวต้มมังสะวิรัตให้อยู่ น่าสงสารพี่สมานก็อยากจะทานเหมือนพวกเรา พ่อก็จำต้องทานด้วยกันเป็นเพื่อนกับพี่สมาน แต่วันนี้หน้าตาพี่สมานดีขึ้นเยอะ หน้าตา มือไม้มีสีแดงขึ้นมาบ้างแล้ว ผิดกับที่มาวันแรก เหลืองไปหมดทั้งตัว วันนี้ต้องไปโคราชทำฟันและส่งใบแจ้งทะเบียนรถหาย สมานขอฝากซื้อยาลดกรดแก้ท้องอืดX-Air ยาลดกรดแก้ท้องอืดมีหลายอย่างก็เลยเอามาให้หลายๆอย่าง กลับจากโคราชถามว่าวันนี้เป็นอย่างไร สมานบอกว่าไม่เจ็บเลย ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ตารางทานสมุนไพรของสมานก็คือเมื่อตื่นมาก็ไปอธิษฐานร่วมกันกับพ่อและพี่ต้อย จากนั้นก็ทานใบฮว่านงอก7-10ใบ ช่วงนั้นพี่ต้อยก็จะทำอาหารเช้า พ่ออยากจะให้คอยสัก 30 นาทีก่อนทานอาหารหลังจากที่ทานใบฮว่านงอก จากนั้นก็ทานข้าว ส่วนมากจะเป็นผัก พ่อก็หนักใจว่าอยากจะให้พี่สมานทานผักเยอะๆแต่ผักส่วนมากก็เต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ต้องเอาเครื่องโอโซนมาล้างสารพิษพวกนี้ออกให้หมดก่อน ตลอดทั้งวัน ถ้าหิวน้ำพ่อปั่นน้ำหญ้าปักกิ่งไว้ให้แกดื่ม สลับกับน้ำใบมะรุม พ่อปั่นน้ำฝรั่งขี้นกที่ต้นหลังบ้านพี่ต้อยผสมกับมะยมและเชอรรี่ไทยเพิ่มสีสันและรสชาด ไม่ใส่น้ำตาล เอาใส่ไว้ในตู้เย็นใครอยากจะเติมน้ำตาลก็ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกัน หลังจากทานอาหารเย็นแล้วก่อนนอนก็ให้พี่สมานดื่มชาเจียวกู่หลานอีกแก้วหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการใช้สมุนไพรเคร่าๆของพี่สมาน บางครั้งที่แกเหนื่อยมากๆหรือเจ็บขึ้นมาเมื่อใด พ่อก็จะทำเอโดซี่ให้แกดื่ม เป็นอาหารเสริมเพิ่มกำลัง ของพวกนี้มีอย.กำกับไว้หมด พ่อไม่อยากเสี่ยงใช้ยามั่วๆไปหมด หรือเยอะแยะจนอะไรเป็นอะไรไม่รู้เรื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขมิ้นชัน ตอนที่ 12


ขมิ้นชันรักษาได้หลายโรค

ขมิ้นชัน
ขื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) หมิ้น (ภาคใต้)
ลักษณะ พืชล้มลุกมีเหง้าอยู่ใต้ดินเนื้อในของเหง้า ขมิ้นชันมีสีเหลืองเข้ม จนสีแสดจัด
มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบรูปเรียวยาวปลายแหลมคล้ายใบพุทธรักษา ดอกออกเป็นช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ออกตรงกลางระหว่างใบคู่ในสุดดอกสีขาว มีแถบสีเหลืองคาด มีกลีบประดับสีขาวหรือเขียว
ส่วนที่นำมาใช้เป็นยา คือ เหง้า (สดและแห้ง)
เหง้าของขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการ อักเสบ และ มีฤทธิ์ในการ ขับน้ำดี น้ำมันหอมระเหย ในขมิ้นชัน มีสรรพคุณบรรเทา อาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุดเสียด
การใช้ขมิ้นชัน แก้แพ้แก้อักเสบ แผล ฝีพุพอง แมลงสัตว์กัดต่อยภายนอก โดยใช้เหง้ายาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็น วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการ ผื่นคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียดและอาหารไม่ย่อย ใช้เหง้าขมิ้น ไม่ต้องปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัด ๆ สัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้ามีอาการท้องเสียให้หยุดยาทันทีนอกจากโรคเกี่ยวกับท้องแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิดปกติ หืด ไอ เวียนศีรษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบอีกด้วยคะเพราะว่ามีฤทธิ์ลดการ อักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม และมีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะในประเทศไทย (โรงพยาบาลศิริราช) พบว่า ได้ผลดีพอควร
การค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้งสามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งของผู้ป่วยเอดส์
แต่การเลือกขมิ้นชันมากินนั้น หากต้องเลือกเอง ขุดเอง ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชันต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องไม่ลืมว่า แสงมีปฏิกิริยากับสาระสำคัญคือ เคอร์คิวมินในขมิ้นชัน จงต้องเก็บให้พ้นแสงด้วย มิฉะนั้นจะได้รับประทานแต่การขมิ้นชันแน่ๆ
จะเห็นได้ว่าขมิ้นชันนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งทาและกินเชียว
ในสมัยก่อนนั้น ภูมิปัญญาท้องถิ่นพื้นบ้านของไทยได้มีการนำขมิ้นมาใช้ประกอบอาหารหลายชนิด ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหาร โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน
สำหรับสาวๆ แล้วการใช้ขมิ้นทาผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้นผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียดสวยชนิดที่หนุ่มมองได้ไม่วางตาเชียว

พุทธรักษา ตอนที่ 11


นี่ก็เป็นบทความน่าสนใจอีกเกี่ยวกับพุทธรักษารักษามะเร็ง ลองอ่านดูนะ


พุทธรักษา

ชื่ออื่น
พุทธศร (พายัพ), ดอกบัวละวงศ์ (ลำปาง), มุยหยิ่งเจีย, กวงอิมเกีย, เซียวปาเจีย, (จีน) ; Indian Shot.
ชื่อวิทยาศาสตร์
Canna indica L. วงศ์ Cannaceae
ลักษณะต้น
เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน สูงประมาณ 1 เมตร มีแป้งขาวๆ อยู่ที่ผิวและก้านใบ
ใบ ใหญ่รูปรีๆ ยาว 10 – 30 เซนติเมตร ใบแหลม ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นน้อยๆ
ดอก อาจเป็นดอกเดียวหรือดอกคู่ มีกลีบก่อนกลีบเลี้ยง 1 ใบ ยาวประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ ยาวกลีบละประมาณ 1 เซนติเมตร มีสีเขียวอ่อน ปลายแหลมมีสีแดง กลีบดอกส่วนมากสีแดงส่วนโคนติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกออกเป็น 3 กลีบ ปลายแหลมยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ที่เสื่อมสภาพไป 3 อัน มีสีแดงสด ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้อยู่ติดกับก้านเกสรเป็นแท่งยาวๆ รังไข่มี 3 ห้อง มีก้านเกสรตัวเมีย 1 อัน ลักษณะเป็นแผ่นแบนยาว
ผล ลักษณะกลม มีหนามไม่แข็งอยู่ภายนอก เส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร
มักพบปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน และริมถนนที่ชุ่มชื้นแฉะ และริมแม่น้ำลำคลองทั่วไป
ปัจจุบัน มีการผสมพันธุ์ได้ดอกสีต่างๆ ตั้งแต่เหลืองอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม บางต้นก็ออกดอกเป็นพันธุ์ผสม มีดอกสีแดงและเหลืองในช่อดอกเดียวกันมี ที่ใช้ทางยามักใช้ชนิดดอกแดง
การเก็บมาใช้
ใช้ ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) และดอก ลำต้นใต้ดินขุดเก็บได้ตลอดปี ตัดก้านใบและรากฝอยทิ้ง ล้างให้สะอาด หั่นเป็นแผ่นตากแห้งเก็บใช้หรือหรือใช้สดก็ได้
ดอก ก็อาจเก็บมาตากแห้งเก็บไว้ใช้ หรือใช้สดเลยก็ได้
สรรพคุณ
ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) รสขม, เย็นจัด ใช้แก้โรคตับอักเสบ (โรคดีซ่าน) บิดเรื้อรัง, อาเจียนเป็นเลือด, ประจำเดือนมาไม่หยุด, ตกขาว, ประจำเดือนไม่ปกติ และแผลบวมอักเสบ
ดอก รสฝาด สุขุม ใช้ห้ามเลือดในบาดแผลสดและบาดแผลมีหนอง
วิธีใช้และปริมาณที่ใช้
ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) ใช้ยาแห้ง หนัก 3 -10 กิโลกรัม ต้มน้ำกิน ภายนอกใช้ตำพอก
ดอก ใช้ดอกแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำกิน ภายนอกใช้ดอกสดตำพอก
ตำรับยา
1. ประจำเดือนมาไม่หยุด ใช้เหง้ากับดอกเข็ม (lxora Chinensis Lam) ตุ๋นร่วมกับไก่กิน
2. แก้ประจำเดือนมาไม่หยุด ตกขาว และปวดฟัน ใช้เหง้าแห้งผสมข้าวเหนียวตุ๋นกับไก่กิน
3. แก้โรคตับอักเสบเฉียบพลันทำให้ตัวเหลืองใช้เหง้าแห้งหนัก 15-30 กรัม (สดหนัก 60-90 กรัม) ต้มน้ำกินประมาณ 1 อาทิตย์จะเห็นผลตัวหายเหลือง
4. ดอกใช้ห้ามเลือดบาดแผลภายนอกใช้ดอกแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำกิน
รายงานผลทางคลินิก
ใช้ แก้โรคตับอักเสบอย่างเฉียบพลัน มีอาการตัวเหลือง ใช้เหง้าสดหนัก 60 – 120 กรัม (ใช้ไม่เกิน 275 กรัม) ต้มน้ำ แบ่งกินเป็น 2 ครั้ง เช้า – เย็น ติดต่อกัน 20 วันเป็น 1 รอบ ของการรักษา ในระหว่างการรักษาห้ามกินปลา กุ้ง ของเผ็ด จิงฉ่าย และน้ำมัน ของพืชชนิดนี้ด้วย จากคนไข้ตับอักเสบ 67 ราย หาย 58 ราย อาการดีขึ้น 3 ราย ไม่เห็นผล 2 ราย ระยะเวลาของการรักษามีตั้งแต่ 20 วัน 34 ราย, 30 วัน 18 ราย และที่รักษานานที่สุด 45 - 47 วัน 6 ราย นอกจากนั้นยังทดลองใช้ต้นร่วมกับ รากคอเข่า และ ทิแบเปียง ทำเป็นยา ใช้รักษาคนไข้ 100 ราย หาย 92 ราย อีก 8 ราย แก้ไขได้ในขั้นต้น
หมายเหตุ
เหง้า
• อินเดีย ใช้ขับเหงื่อปัสสาวะในอาการไข้และอาการบวมน้ำ
• กัมพูชา ใช้เหง้าต้มให้และคั้นเอาน้ำดื่มแก้คุดทะราด และใช้ชะล้างทำความสะอาดบาดแผล
• มาเลเซีย ใช้เหง้าปรุงเป็นอาหาร
• ชวา ใช้น้ำคั้นจากเหง้าแก้ท้องร่วง
• ไทย แพทย์ตามชนบทใช้เหง้าต้มกินเป็นยาบำรุงปอด แก้อาเจียนหรือไอเป็นโลหิตได้ดี
เมล็ด
ใช้ ทำสร้อยและร้อยเป็นสายประคำ โดยเก็บเมล็ดที่โตเต็มที่แล้วแต่ก่อนที่ผลจะสุกแกะ เปลือกออกนำไปตากแห้ง เมล็ดจะแข็งเป็นสีม่วงเข้ม นำมาเจาะรูร้อยเป็นสายประคำได้สวยงามมาก
• ชวา เขาเอาเมล็ดมาบดเป็นผงพอกตรงขมับแก้ปวดหัวได้
• อินเดีย ใช้ก้านใบผสมกับข้าว พริกไทยและน้ำ ต้มให้เดือดให้วัวกินแก้พิษเนื่องจากไปกินหญ้าพิษเข้า และยังกล่าวว่า ใยจากก้านใบยังใช้แทนปอกระเจาได้ในอุตสาหกรรมทำเชือกและถุงเท้า

ต้นย่านาง ตอนที่ 10


พ่อพบเรื่องย่านาง ใบมันเราคั้นเอาน้ำใบย่านางมาใส่ในแกงหน่อไม้ มันจะทำปฏิกิริยา ไม่ให้หน่อไม้ขมได้ ก็น่าคิดนะว่าหน่อไม้มักจะเป็นของแสลงสำหรับคนที่ทานยาสมุนไพร หมอสมุนไพรส่วนมากจะห้ามทานหน่อไม้ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปหาใบย่านางมาให้พี่สมานดื่มสักหน่อย

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กำลังใจ ตอนที่ 9


พี่สมานมีกำลังใจที่ดีมาก หลังจากที่หมอบอกว่าแกเหลือเวลาอีก 3 เดือนเท่านั้น หมอบอกว่าจะให้ทำคีโมบำบัดหรือให้ศูนย์วิจัยผ่าตัด พี่สมานบอกว่าผมขอเลือกวิธีเชื่อพระเจ้ารักษาดีกว่า หลังจากนั้นแกก็มาหาพ่อทันที มีคนเอาอาหารเสริมสารพัดให้แก มีเห็ดหลินจือ ออกซิเจนน้ำ อาหารเสริมโปรตีน พ่อดูแล้วก็คิดว่ามันเยอะมาก ก็บอกให้พี่สมานทานที่ละอย่างๆ แต่อยากจะเน้นของสดๆด้วย

นอกจากนั้นพี่สมานจะเปิดฟังโรงเรียนพระคริสต์ที่พ่อแปลของศจ.ดร.แคลเดนแนลวันละบทสองบท พี่สมานอธิษฐานบ่อยมากและฟังพระคัมภีร์อ่านเป็นภาษาไทย พ่อไปดูแกประจำและพูดหนุนใจด้วยพระสัญญา 800 ข้อ ห้องพี่สมานพ่อเปิดเครื่องโอโซนให้แกด้วย หน้าตาก็สดใสขึ้นมาก เดี๋ยวว่าจะไปทำน้ำนมถั่วเหลืองให้แกดื่ม แล้วจะหุงข้าวกล้องพร้อมลูกเดือยและข้าวบาร์เลย์ให้แกทาน

เปิดดูข้อมูลต่างๆที่พ่อคัดมาให้ดูบ้างหรือยัง ข้อมูลดีๆมีเยอะมาก จนไม่รู้ว่าใครคัดจากใครเป็นใคร แต่อ่านๆดูแล้วก็ใช้วิเคราะห์ดูดีๆ สมุนไพรเหล่านี้บ้างก็มีการวิจัยไปแล้วบ้างก็ยังไม่มีการวิจัย มีคำบอกเล่าปากต่อปากกันไปอย่างนี้แหละ แต่พี่สมานบอกพ่อว่า ภรรยาของแกรู้จักหมอคนหนึ่งที่มีอาจารย์หมออีกคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายเหมือนกัน หมอที่เป็นเพื่อนของภรรยาพี่สมานโทรมาหาพี่สมานว่าจะรักษาอย่างไร พี่สมานก็บอกว่าแกจะค่อยๆบำรุงร่างกายให้แข็งแรงด้วยสมุนไพรแล้วเชื่อว่าพระเจ้าจะรักษา เพื่อนภรรยาถามว่ากินสมุนไพรอะไรบ้าง พี่สมานก็บอกแกตามที่พ่อให้แกทานทุกวัน แกบอกว่้า สมานมาถูกทางแล้ว เพราะอาจารย์หมอของแกที่ป่วยด้วยมะเร็งขั้นสุดท้ายก็กินสมุนไพรแบบเดียวกันกับของพี่สมานและเดี๋ยวนี้แกหายดีแล้ว พี่สมานดีใจมากเมื่อได้ยินเพื่อนภรรยาบอกข่าวดีเช่นนี้

พ่อก็เสริมว่าของพี่สมานพ่อให้แก สั่งมะเร็งให้ฟ่อไป ให้ยุบลง โดยนามพระเยซูคริสต์เจ้า เพราะในพระคัมภีร์ได้บอกให้เราผู้เชื่อมีสิทธิอำนาจเหนือสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ แล้วหายใจเข้าลึกๆพร้อมพูดว่าพระเยซูให้ชีวิต ทุกๆวันพ่อจะคอยหนุนใจแกว่าให้สู้ไปเป็นวันๆ บางวันดีบางวันร้ายไม่เป็นไร อย่าท้อแท้ใจ เรามีพระเจ้าที่รักเราคอยให้กำลังใจเราทุกวัน

มะรุม ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท ตอนที่ 8




ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท
"มะรุม" มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า
Moringa oleifera Lam.
วงศ์ Moringaceae



คุณค่าทางอาหารของมะรุม

มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด
กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบมะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด ๒ เท่า
ตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ ๓
นิยมกินเป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูง ราคาถูก
มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรคดังนี้


วิตามินเอบำรุงสายตามีมากกว่าแครอต ๓ เท่า
วิตามินซีช่วยป้องกันหวัด ๗ เท่าของส้ม
แคลเซียมบำรุงกระดูกเกิน ๓ เท่าของนมสด
โพแทสเซียมบำรุงสมอง/ระบบประสาท ๓ เท่าของกล้วย
ใยอาหาร/พลังงานไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก

จากอาหารมาเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ


ปัจจุบันชาวญี่ปุ่นผลิตชาใบมะรุมออกจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบุว่า
ใช้แก้ไขปัญหาโรคปากนก กระจอก หอบหืด อาการปวดหู
และปวดศรีษะ ช่วยบำรุงสายตา ระบบทางเดินอาหาร
และช่วยระบายกาก

ประเทศอินเดีย หญิงตั้งครรภ์จะกินใบมะรุม

เพื่อเสริมธาตุเหล็กประเทศฟิลิปปินส์และบอสวานา

หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมจะกินแกงจืดใบมะรุม

(ภาษาฟิลิปปินส์เรียก“มาลังเก”)เพื่อประสะน้ำนมและเพิ่มแคลเซียม

ให้กับน้ำนมแม่เหมือนกับคนไทย
ชะลอความแก่

กล่าวกันว่ามะรุมมีฤทธิ์ชะลอความแก่
เนื่องจากยังไม่พบรายงานการวิจัยเกี่ยวกับมะรุมในด้านนี้
คาดว่าเป็นการสรุปเนื่องจากมะรุมมีสารฟลาโวนอยด์
สำคัญคือ รูทินและเควอเซทิน (rutin และ quercetin)
สารลูทีนและกรดแคฟฟีโอลิลควินิก
(lutein และ caffeoylquinic acids)ซึ่งต้านอนุมูลอิสระ
ดูแลอวัยวะต่างๆได้แก่ จอประสาทตา ตับ และหลอดเลือด
จากการเสื่อมสภาพตามอายุ การกินสารต้านอนุมูลอิสระชะลอ
การเสื่อมสภาพในเซลล์ร่างกาย

ฆ่าจุลินทรีย์

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตโคไซด์และเบนซิลกลูโคซิโนเลต
ค้นพบในปี พ.ศ. ๒๕๐๗ จาก มะรุมมีฤทธิ์ต้านจุลชีพ
สนับสนุนการใช้น้ำคั้นจากมะรุมหยอดหูแก้ปวดหู
ปัจจุบันหลังจากค้นพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร
Helicobactor pylori กำลังมีการศึกษาสารจาก
มะรุมในการต้านเชื้อดังกล่าว

การป้องกันมะเร็ง

สารเบนซิลไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์ชนิดหนึ่ง
และสารไนอาซิไมซิน(niazimicin)จากมะรุมสามารถ
ต้านการเกิดมะเร็งที่ถูกกระตุ้นโดยสารฟอบอลเอสเทอร์
ในเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ การทดลองในหนูพบว่า
หนูที่ได้รับฝักมะรุมเป็นอาการเกิดโรคมะเร็งผิวหนัง
จากการกระตุ้นน้อยกว่ากลุ่มทดลอง
โดยกลุ่มที่กินมะรุมเนื้องอกบนผิวหนังน้อยกว่ากลุ่มควบคุม

ฤทธิ์ลดไขมันและคอเลสเทอรอล

จากการทดลอง ๑๒๐ วัน ให้กระต่ายกินฝักมะรุม
วันละ ๒๐๐ กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัว
ต่อวันเทียบกับยาโลวาสแตทิน ๖ มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
น้ำหนักตัวต่อวันและให้อาหารไขมันมาก


ใบมะรุม ๑๐๐ กรัม
(คุณค่าทางโภชนาการของอาหารอินเดีย พ.ศ. ๒๕๓๗)

พลังงาน ๒๖ แคลอรี

โปรตีน ๖.๗ กรัม (๒ เท่าของนม)

ไขมัน ๐.๑ กรัม

ใยอาหาร ๔.๘ กรัม

คาร์โบไฮเดรต ๓.๗ กรัม

วิตามินเอ ๖,๗๘๐ ไมโครกรัม (๓ เท่าของแครอต)

วิตามินซี ๒๒๐ มิลลิกรัม (๗ เท่าของส้ม)

แคโรทีน ๑๑๐ ไมโครกรัม

แคลเซียม ๔๔๐ มิลลิกรัม (เกิน ๓ เท่าของนม)

ฟอสฟอรัส ๑๑๐ มิลลิกรัม

เหล็ก ๐.๑๘ มิลลิกรัม

แมกนีเซียม ๒๘ มิลลิกรัม

โพแทสเซียม ๒๕๙ มิลลิกรัม (๓ เท่าของกล้วย)

พบว่าทั้งกลุ่มที่กินมะรุมและยามีคอเลสเทอรอล

ฟอสโฟไลพิดไตรกลีเซอไรด์ VLDLLDL

ปริมาณคอเลสเทอรอลต่อฟอสโฟไลพิด

และ atherogenic index ต่ำลงทั้ง ๒กลุ่ม

มีการสะสมไขมันในตับหัวใจ และท่อเลือดแดง (เอออร์ตา)

กลุ่มควบคุมปัจจัยด้านการสะสมไขมันในอวัยวะเหล่านี้

ไม่มีค่าลดลงแต่อย่างใด กลุ่มที่กินมะรุม

พบการขับคอเลสเทอรอลในอุจจาระเพิ่มขึ้น

ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการกินมะรุมมีผลลดไขมันในร่างกาย

ที่ประเทศอินเดียมีการใช้ใบมะรุมลดไขมันในคน

ที่มีโรคอ้วนมาแต่เดิม การศึกษาการกินสารสกัดใบมะรุม

ในหนูที่กินอาหารไขมันสูงมีปริมาณคอเลสเทอรอล

ในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญเทียบกับกลุ่มควบคุม

นอกจากนี้กลุ่มทดลองมีปริมาณไขมันในตับและไตลดลง

สรุปว่าการให้ใบมะรุมเพื่อลดปริมาณไขมันทางการแพทย์

อินเดียสามารถวัดผลได้ในเชิงวิทยาศาสตร์จริง

ฤทธิ์ป้องกันตับ

งานวิจัยการให้สารสกัดแอลกอฮอล์ของใบมะรุม

กรณีทำให้ตับหนูทดลองเกิดความเสียหาย โดยยาไรแฟมไพซิน

พบว่าสารสกัดใบมะรุมมีฤืธิ์ป้องกันตับ โดยมีผลกับระดับเอนไซม์

แอสาเทตอะมิโนทรานสเฟอเรสอะลานีนทราน

มิโนทรานสเฟอเรสอัลคาไลน์ฟอสฟาเทส

และบิลิรูบินในเลือดและมีผลกับปริมาณไลพิด

และไลพิดเพอร์ออกซิเดสในตับ โดยดูผลยืนยัน

จากการตรวจชิ้นเนื้อตับ สารสกัดใบมะรุม

และซิลิมาริน(silymarin กลุ่มควบคุมบวก)

มีผลช่วยการพักฟื้นของการถูกทำลายของตัวจากยาเหล่านี้

ชาวอินเดียยังได้ทำการทดลองและเชื่อว่า

มีคุณสมบัติในการรักษาโรคต่างๆได้ถึง ๓๐๐ชนิด

กลุ่มองค์การกุศลมากมายได้หันมาให้ความสนใจอย่างจริงจัง

กับ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ รวมทั้งประเทศไทยกลุ่มนักศึกษาแพทย์

จำนวน๒๕ท่านจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์

ได้ทำการทดลองวิจัยในการที่จะนำมารักษาผู้ป่วยด้วย

โรคงูสวัด


กลุ่ม ประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษ,เยอรมัน,รัสเซีย,ญี่ปุ่น,จีน,

ก็หันมาให้ความสนใจและ ทำการค้นคว้าอย่างเร่งด่วน

โดยเฉพาะเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง เบาหวาน

โรคเอดส์ และอีกมากมาย

จากงานวิจัยจากต่างประเทศ

๑.ใช้รักษาโรคขาดอาหารในเด็กแรกเกิด ถึง ๑๐ ขวบ

และลดสถิติการเสียชีวิต พิการ และตาบอด ได้เป็นอย่างดี


๒.ใช้รักษาผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานให้อยู่ในภาวะควบคุมได้

ทำให้สามารถลดการใช้ยาลงโดยความเห็นชอบ

และการดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์ผู้รักษาด้วย

๓.รักษาโรคความดันโลหิตสูง


๔.ช่วยเพิ่มและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย

ถ้าแม้ทานผลิตผลจากมะรุมในระหว่างตั้งครรภ์

เด็กที่เกิดมาจะไม่ติดเชื้อHIV

นอกจากนี้ยังช่วยให้คนทั่วๆไป สามารถสร้างภูมิคุ้มกัน

ให้กับตัวเองถ้ารับประทานอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๓ ครั้ง


๕.ช่วยรักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ให้อยู่ในภาวะควบคุมได้

และสามารถมีชิวิตอยู่อย่าง คนทั่วไปได้ในสังคม

การรักษาโรคเอดส์ที่ประสพผลสำเร็จในกลุ่มประเทศอาฟริกา

แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาก็กำลังอยู่ในภาวะทดลอง


๖.ถ้ารับประทานสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคมะเร็ง

แต่ถ้าหากเป็นก็จะช่วยให้การรักษาพยาบาลง่ายขึ้น

ในบางกรณีสามารถหยุดการเจริญเติบโตของโรคร้ายได้

ถ้าใช้ควบคู่ไปกับยาแพทย์แผนปัจจุบัน

หากผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งได้รับการรักษาด้วยรังสี

การดื่มน้ำมะรุมจะช่วยให้การแพ้รังสีฟื้นตัวเร็วขึ้น

และมีร่างกายที่แข็งแรง


๗.ช่วยรักษาโรคไขข้ออักเสบ โรคเก๊า โรคกระดูกอักเสบ

โรคมะเร็งในกระดูก โรครูมาติซั่ม


๘.รักษาโรคตาเกือบทุกชนิด เช่น โรคตามืดตามัว

เพราะขาดสารอาหารที่จำเป็นโรคตาต้อ

เป็นต้นถ้ารับประทานสม่ำเสมอ

จะทำให้ตามีสุขภาพที่สมบูรณ์


๙. รักษาโรคลำไส้อักเสบ โรคเกี่ยวกับท้อง

โรคพยาธิในลำไส้ เป็นต้น


๑๐.รักษาปอดให้แข็งแรง รักษาโรคทางเดิน

ของลมหายใจ และโรคปอดอักเสบ

หมายเหตุ..ข้อควรระวังในคนที่เป็นโรคเลือด G6PD ไม่ควรรับประทาน


เอกสารอ้างอิง:

๑.Nature’s Medicine Cabinet by Sanford Holst

The Miracle Tree by Lowell Fuglie LA times

March 27th 2000 article wrote by Mark Fritz.

http://www.PUBMED.GOV. (Search for Moringa)

(Antiviral Research Volume 60, Issue 3, Nov. 2003,

Pages 175-180: Depts. of Microbiology,
Pharmaceutical Botany, Pharmacology,

Faculty of Pharmaceutical Science,

Chulalongkorn University, Bangkok.

๒.นิตยสารหมอชาวบ้านปีที่ ๒๙ ฉบับที่ ๓๓๘ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๐
(จากเว็บไซด์ของชมรมแพทย์แผนไทย)


มะรุม ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท ตอนที่ 7

ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท

The Moringa Tree

The Miracle Tree

All parts of this scruffy looking tree are edible; the leaves can be eaten raw, cooked like spinach or made into a powder that can be added to sauces, soups or chowders. The new leaves have a tendency to appear towards the end of the dry season when few other sources of green leafy vegetables are available. The young, green pods can be eaten whole and are comparable in taste to asparagus. The older pods can be used for their seeds, which can be prepared as peas or roasted and eaten like peanuts. The flowers which bloom around 8 months after the tree is planted, can be eaten fried and have the taste and texture of mushrooms. In Hawaii, the flowers are used to make a tea that cures colds. In addition to this, the flowers are a year-round source of nectar and can be used by beekeepers.

When the pods mature and turn brown, the seeds can be removed and pressed to extract high quality oil similar to olive oil rich in oleic acid (73%). The mature seed contains about 40% oil. The oil, which is known as Ben oil, can be used for cooking, lubrication, in soaps, lamps and perfumes. The oil was highly valued by ancient Greeks, Romans and Egyptians and was used in perfumes and for skin protection; it was also used in Europe in the 19th century for the same purpose and was imported from the West Indies. The taproot of young trees can be used to make a spice resenbling horseradish when vinegar and salt are added to it.

Not only is the Moringa Oleifera tree extraodinary in that all parts of the tree are edible, but the most amazing aspect of the tree is its exceptionally high nutritional value. The leaves of the Moringa tree are an excellent source of Vitamin A (Four times the amount in Carrots), the raw leaves are rich in Vitamin C (Seven times the amount in Oranges), and they are also a good source of Vitamin B and other minerals. The leaves are also an outstanding source of calcium (four times the amount in milk), protein (twice the amount in milk), and potassium (three times the amount in bananas).

The content is iron is very good as well and the leaves have purportedly been used for treating anaemia in the Philippines. The content of amino acids such as methionine and cystine is also high. Carbohydrates, fats and phosphorous content are low making this one of the finest plant foods to be found.

เจียวกู้หลาน ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท ตอนที่ 6


ข้อมูลที่คัดมาจากอินเตอร์เนท

เจียวกู้หลานสมุนไพร
( GYNOSTEMMA PENTAPHYLLUM )

เจียวกู้หลาน Jiaogulan (Gynostemma pentaphylum) ได้รับการ ยกย่าอง ให้เป็นสุดยอดสมุนไพรแห่งชาติปี พ.ศ. 2548 จากการรวบรวมรายงานการวิจัยตลอดจน เอกสารที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นงานวิจัย หรือ เอกสารวิชาการ ที่เกี่ยวข้องกับเจียวกู้หลาน ระหว่างปี พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2550 พบว่ามีมากกว่า 1000 รายการ งานวิจัย ส่วนใหญ่จะเป็นงาน วิจัยเกี่ยวกับ สรรคุณ เคมี ความปลอดภัย ดังนั้น เจียวกู้หลาน จึงเป็นพืชที่น่าสนใจ ของหลาย ๆ สำนักการวิจัย ที่ต้องการนำคุณสมบัติ และ พฤกษเคมี ที่มีคุณค่า และความปลอดภัยต่อ มนุษย์ มาบำบัด และป้องกัน ยับยั้ง อาการเจ็บป่วย ซึ่งยาเคมีในปัจจุบันยังให้ผลข้างเคียงและตกค้างในร่างกายของมนุษย์
เจียวกู้หลาน ออกฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็ง
Wang C และคณะ รายงานฤทธิ์ของเจียวกู้หลาน ในการยับยั้งและ ป้องกันการเกิดมะเร็งหลอดอาหารในสัตว์ทดลอง หนูขาว โดยให้หนูขาวกินน้ำผสมสารจากเจียวกู้หลานสกัด ติดต่อกัน เป็นเวลา สองสัปดาห์ จากนั้น ให้สารก่อมะเร็ง แก่หนูขาวเป็นเวลา 18 สัปดาห์ และ sacrifiled เป็นระยะ ๆ พบว่าการเกิด esophageal epithelial papilloma จำนวนเนื้องอกที่เกิดขึ้น อุบัติการของมะเร็งในหนูขาวกลุ่มที่ได้รับสารจากเจียวกู้หลาน จะน้อยกว่า Chen ZL และคณะ ได้ทดลองนำ เจียวกู้หลาน มาทดสอบฤทธิ์ในการป้องกันการเกิดมะเร็ง ใน Hamster cheek pouches พบว่าเจียวกู้หลานสามารถใช้รักษา Hyperplasia และสามารถป้องกันไม่ให้เซลล์เหล่านั้นกลายเป็นเนื้อร้าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สถาบันวิจัย สมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข ISBN 974-7549-68-3

ฮว่านงอก ตอนที่ 5


ต้น พญาวานร

สมุนไพร ฮว่านง็อก (Hoan Ngoc)

จะขอแนะนำสมุนไพรที่ค้นพบล่าสุดและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่านเนื่องจากเป็นสมุนไพรเดียวที่รักษาโรคได้อเนกอนันต์ ต้นไม้ ฮว่านง็อกนี้ เข้ามายังประเทศไทยเราเกือบสิบกว่าปีแล้ว แต่ยังหวงแหนปกปิดเป็นความลับเฉพาะคนกลุ่มหนึ่ง

* สมุนไพรฮว่านง็อก

เป็นต้นสมุนไพร ถือกำเนิดในประเทศเวียดนาม ผู้นำเข้ามาเป็นกลุ่มทหารผ่านศึก สมัยสงครามเวียดนาม กระถางแรกมีราคา ถึง 70,000 ( เจ็ดหมื่นบาท) นำมากินสดๆ แก้โรคต่างๆ มากมาย และเห็นผมเร็ว รู้จักกันในรุ่นของทหารผ่านศึกรุ่นนั้นรุ่นเดียว ผู้เขียนได้ข้อมูลและมีความสนิทชิดชอบกับทายาทของนายทหารผู้นั้น ซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม (ปัจจุบัน อายุ 68 ปี) จึงได้ถามประวัติความเป็นมา การใช้และสรรพคุณ ซึ่งท่านใช้รักษาอาการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัวก่อน เช่น ภรรยาของท่านเป็นเบาหวาน กินใบสมุนไพร ฮว่านง็อกไม่นานก็หาย ซึ่งจะแจกแจงรายละเอียดต่อไป

*ลักษณะของต้น

เป็นต้นไม้ชิดใบอ่อน ปลายแหลมส่วนล่างของใบจะหยาบสีเขียวอ่อน ด้านสีเขียวเข้ม เป็นต้นไม้ที่มีใบมาก แตกกิ่งก้านทรงพุ่มดี การขยายพันธุ์เพียงตัดยอดปักชำลงดินก็เกิดรากตั้งตัวได้เร็ว ย้ายลงปลูกในกระถางใส่ปุ๋ยพรวนดินก็จะเจริญงอกงาม

วิธีใช้

ส่วนสำคัญคือใบใช้เคี้ยวรับประทานสดๆ จะคั้นและกรองเอาน้ำข้นๆรับประทานหรือต้มเป็นน้ำแกงรับประทานก็ได้ ส่วนเปลือกและรากไม้ สามารถต้มกลั่นเป็นสุราได้ด้วย ใบไม้ไม่มีกลิ่นและรสสามารถต้มเอาน้ำใสๆ ดื่มได้ ส่วนการรับประทานมากหรือน้อยอยู่ที่ธาตุ หนักเบา ของแต่ละคน โดยทั่วไปจะรับประทาน 1-4ใบ คนที่มีอาการหน้ามือตาลาย หลังรับประทาน 15 นาทีก็จะหาย ให้รับประทานติดต่อกัน 7 วัน วันละ 2 ครั้งก่อนอาหาร (ท้องว่าง)

หลังจากคนไข้รายหนึ่ง หลังจากรักษาโรคมะเร็งตับจากยานานาชนิดไม่หาย เมื่อได้รับประทานใบสดของต้น ฮว่านง็อกแล้ว คนไข้มีปฏิกิริยาตอบรับอย่างไม่น่าเชื่อ จากการมีไข้สูงถึง 40 องศา ลดลงเหลือ 37 องศา การเจ็บป่วยลดลงมาก ผิวหนังเคยเหลืองก็ลดลง หน้าท้องแฟบลง ตัวเบาลง ทำให้คนไข้ลุกขึ้นมาสนทนาได้

ทำไมคนไข้จึงฟื้นตัวเร็วขนาดนั้นหลังจากรับประทานได้ 20 นาที ยาได้ออกฤทธิ์ รับประทาน 5 ใบจะลดความเจ็บปวดได้ 3 ชั่วโมง รับประทาน 7 ใบลดได้ 5 ชั่วโมง เสมือนหนึ่งยาวิเศษ เพราะคนไข้โรคตับได้เจ็บป่วยมาถึงวาระสุดท้ายแล้วกลับฟื้นและมีความหวัง ต้นฮว่านง็อกเป็นต้นไม้ใบยาที่มีคุณค่าสูงส่ง เป็นของขวัญจากสวรรค์มอบให้แก่มวลมนุษย์ ก่อนหน้านี้เรียกว่า ต้นลิง เนื่องมาจากทหารที่อยู่ในป่าเห็นลิงที่ไม่สบายใจนอนซมอยู่ จะมีลิงตัวอื่นไปเด็ดใบ สมุนไพรฮว่านง็อกมา ให้เคี้ยวกินแล้ว ฟื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หลังจากนั้นทหารได้ลองนำใบไม้นี้มาให้ทหารที่เจ็บป่วยไม่สบายหรือเหนื่อยล้ากินปรากฏว่าอาการที่เป็นอยู่หายได้ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นฮว่านง็อก ฮว่าน แปลว่า ฟื้น ง็อก แปลว่า หยก หรือเพชรที่เป็นของมรค่า (ข้อมูลจากชาวเวียดนาม ที่ อ.บ่องขวัญ เจริญรัตน์ ได้ไปสัมภาษย์จากชาวเวียตนามที่อยู่ จังหวัด เฮว้ และจังหวัด กว่างตริ หลายท่าน เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2549) และมีเด็กสองคนทะเลาะวิวาทและชกต่อยกัน จนทำให้ลูกอัณฑะหายไป เมือรับประทานใบไม้นี้แล้ว กลับทำให้ลูกอัณฑะกลับคืนปกติ

***สรรพคุณของต้นสมุนไพร (จากเอกสาร ฮานอย 2/9/1995 ถ่ายทอดจาก ต้นฉบับจริง)ปรับปรุงบางส่วน

1. รักษาคนสูงอายุ ปวดเมื่อยตามร่ายกาย ทำงานหนัก เกิดประสาทหลอน

2. รักษาอาการไข้หวัด ท้องไส้ไมปกติ

3. รักษาอาการมีบาดแผล เคล็ด ขัด ยอก กระดูกหัก

4. รักษาอาการทางเดินอาหารไม่ปกติ

5. รักษาอาการโรคกระเพาะอาหาร โรคเลือดออกในลำไส้เกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ

6.รักษาอาการคอพอก ตับอักเสบ

7.รักษาอาการไตอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นข้น

8.รักษาอาการโรคมะเร็งปอด มีอาการปวดต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ ให้รับประทาน ต่อไป 100 200 ใบ อาการจะหายหมด

9.รักษาโรคตาทุกชนิด เช่น ตาแดง ตาต้อ ตาห้อเลือด

10.รักษาอาการมดลูกหย่อนของหญิงคลอดบุตรใหม่ ได้ผลดี ช่วยให้มดลูกเข้าอู่เร็ว

11.รักษาโรคความดันโลหิตสูง ความดันโลหิตต่ำ โรคประสาทอ่อนๆ เป็นการสนับสนุนเหตุผลโรคความดันโลหิตสูง ซึ้งผู้เขียนก็เป็น และรับประทานครั้งละ 5 ใบเช้า เย็น 1 วันอาการหน้ามืด มึนหัว หายไป รู้สึกสบายเบาสมอง

12.สามารถใช้กับสัตว์ได้ จากเอกสารระบุว่าใช้กับไก่ชนหลังชนไก่แล้ว ต้องการให้ไก่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บ ให้ไก่กินใบสมุนไพรฮว่านง็อก จะฟื้นตัวได้เร็ว

13.ใบแห้งชงดื่มแทนน้ำเปล่า จะช่วยให้หายจากโรคได้เร็วขึ้น

14.ช่วยลดไขมันหน้าท้อง ไขมันในเส้นเลือด และช่วยลดคลอเลสเตอร์ล่อนในเส้นเลือด

ฯลฯ

รายละเอียดในการรักษาแต่ละโรค

1.โรคกระเพาะอาหารเป็นแผล รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 ครั้ง รับประทานติดต่อกันจนครบ 50 ใบ

2.โรคเลือดออกในลำไส้ รับประทานใบสด 7 13 ใบ หรือคั้นเอาน้ำวันละ 2 เวลา

3.โรคเกี่ยวกับเป็นบิด รับประทานครั้งละไม่เกิน 7 ใบ วันละ 2 เวลา ติดต่อกันประมาณ 100 ใบ

4.โรคตับอักเสบ คอพอก รับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกัน จนครบ 150 ใบ

5.โรคไตอักเสบ ปวดเป็นประจำ รับประทานครั้งละ 3-4 ใบ วันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันจนครบ 30 ใบ

6.อาการท้องไส้ไม่ปกติ รับประทาน 7- 14 ใบ 2 ครั้งหาย

7.ปวดเมื่อยตามร่างกาย รับประทาน 7- 14 ใบ 2 ครั้งหาย

8.อาการปัสสาวะแสบ ปัสสาวะเป็นเลือดรับประทาน 14 21 ใบ โดยคั้นเอาน้ำข้นๆ มารับประทาน

9.โรคตาแดง รับประทาน 7 ใบ และบด 3 ใบปิดที่ตาเวลานอน 1 คืนจะหาย

10.โรคความดันสูงจะลดทันทีเมื่อรับประทาน 5-9 ใบ

11.แก้เบาหวาน ผู้ชายรับประทานวันละ 7 ใบ ผู้หญิงรับประทานวันละ 9 ใบ ภายใน 90 วันอาการลดลง

12.ใช้กับสัตว์ เช่น ไก่เหงา เป็นอหิวาห์ หรือนิวคลาสเซิล ให้ไก้กิน 2-3 ใบ ไก่ชนแล้วให้กิน 2-3 ใบ (น่าจะประยุกต์ใช้กับสัตว์อื่นได้)

13.ลำใส้อุดตัน กินครั้งละ 7-14 ใบกินควบกับใบ “เมอโลง” (สมุนไพรเวียตนาม) ขณะรับประทานอาหาร ระยะเวลา 1-2 เดือนก็จะหาย

หญ้าปักกิ่ง ตอนที่ 4


เท่าที่พ่อค้นหาดูจากหนังสือและทางอินเตอร์เนท นี่คือบทความต่างๆที่ได้มา ลองอ่านดูนะ

หญ้าปักกิ่ง
หญ้าเทวดา (หญ้าปักกิ่ง) เริ่มมีผู้นำมาเผยแพร่ประมาณ 30 ปีมาแล้ว รายละเอียดเกี่ยวกับหญ้าเทวดามีดังนี้
ชื่อท้องถิ่น : เล่งจือเฉ้า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Murdannia loriformis (Hassk.) Rolla Rao et Kammathy
วงศ์ : Commelinaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : หญ้าเทวดาเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไม่ใช่พืชในวงศ์ของหญ้าทั่วไป ในประเทศไทยพืชในวงศ์ของหญ้าเทวดามักเป็นไม้ประดับ หญ้าเทวดาเป็นพืชล้มลุกสูงประมาณ 7-10 ซม. บางทีสูงที่สุดได้ถึง 20 ซม. ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยวความยาวไม่เกิน 10 ซม. ดอกออกเป็นช่อที่ปลายยอดรวมกันเป็นกระจุกแน่นกลีบดอกสีฟ้าปนม่วง ใบประดับกลมยาวประมาณ 4 มม. ร่วงง่าย
แหล่งกำเนิด : มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตอนใต้ และพบทั่วไปในประเทศไทย
การเพาะปลูก : เป็นพืชที่ชอบดินร่วนหรือดินปนทรายงอกงามในที่มีแดดรำไร ไม่ต้องการน้ำมาก วิธีปลูกให้นำต้นเล็กที่มีรากมาปลูกหรือใช้เมล็ด อาจปลูกแบบพืชคลุมดินใต้ต้นไม้ใหญ่ ปลูกในกระบะหรือกระถางเป็นพืชที่ปลูกได้ง่ายและไม่จำเป็นต้องมีเนื้อที่มาก
ส่วนที่ใช้ : ทั้งต้นหรือส่วนเหนือดิน (ลำต้นและใบ) ที่มีอายุ 3-4 เดือน (ตั้งแต่เริ่มออกดอก)
สรรพคุณพื้นบ้าน : ยาจีนใช้หญ้าเทวดารักษาโรคในระบบทางเดินหายใจและกำจัดพิษ ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 มีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็ง ดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าเทวดาเพื่อรักษาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง สามารถยืดชีวิตต่อไปได้ระยะหนึ่งทำให้หญ้าเทวดาเป็นที่สนใจมาก เพราะมีผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือนขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักที่บ้าน แต่ผู้ป่วยกลับไปบ้านและ
กินน้ำคั้นหญ้าเทวดา อีก 1 ปีต่อมายังมีชีวิตกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจผลของผู้ป่วยรายนี้กระตุ้นให้มี การศึกษาวิจัยคุณสมบัติของหญ้าเทวดามากมาย นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายใช้ร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผลข้างเคียง
องค์ประกอบทางเคมี : น้ำคั้นสดจากหญ้าเทวดา มีกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี1 บี) ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า 1B-O-D-glucopyranosy1-2- (2' -hydroy-6' -ene-cosamide) -sphingosine (G1b)
คุณสมบัติทางชีวภาพและเภสัชวิทยา :การศึกษาคุณสมบัติต้านมะเร็งในห้องปฏิบัติการกลัยโคสฟิงโกไลปิดส์ (จี 1 บี) แสดงฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านม และเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ด้วยค่า ED50>16 ไมโครกรัม/มล. สารจี 1 บี ยังแสดงผลปรับระบบภูมิคุ้มกันด้วยสารสกัดหญ้าเทวดามีผลลดความรุนแรงของการ แพร่กระจายของมะเร็ง (metastasis) ในหนู จึงคาดว่า สารสกัดหญ้าเทวดาอาจใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ สารสกัดหญ้าเทวดามีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ ชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น AFB1 สารสกัดหญ้าเทวดามีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ DT-diaphorase ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง
ความเป็นพิษ : พิษเฉียบพลัน น้ำคั้นจากหญ้าเทวดาไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต เคมีเลือดและพยาธิสภาพ
ของอวัยวะสำคัญในหนูขาว ค่า LD50 เมื่อให้โดยการป้อนในหนูขาวมากกว่า 120 ก./กก. นน. ตัว ซึ่งเทียบเท่ากับ 300 เท่าของ
ขนาดรักษาในคน จัดว่าเป็นสมุนไพรที่ค่อนข้างปลอดภัยตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลก
พิษกึ่งเรื้อรัง จากการทดลองในสัตว์ทดลองพบว่าขนาดที่ใช้รักษาในคนมีความปลอดภัยเพียงพอ หากใช้
ติดต่อกันนาน 3 เดือน
พิษทางคลินิก ยังไม่พบรายงาน
ประโยชน์ทางการแพทย์ :ใช้เป็นยาร่วมในการรักษามะเร็ง สามารถลดผลข้างเคียงจากการรักษาแผนปัจจุบัน
ยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็งและการกลับมาเป็นอีก รวมทั้งใช้ปรับระบบภูมิคุ้มกัน
วิธีเตรียมน้ำคั้น :
นำส่วนเหนือดินหรือทั้งต้น น้ำหนัก 100-120 กรัม หรือ จำนวน 6 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ และ
โขลกในครก ที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ชต. (60 มล.) กรองผ่านผ้าขาวบาง
ผลข้างเคียง : ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น 0.5-1 องศาเซลเซียส ผลข้างเคียง
ในระยะ 7 วัน หรือ 10 วัน อาจมีอาการหงุดหงิด หรือเป็นไข้ อาจมี
น้ำเลือดปนหนอง ออกทางอุจจาระ น้ำปัสสาวะอาจเหมือนน้ำล้างปลา นอนไม่หลับ/
โมโหง่าย หากรับประทานติดต่อกันหลายปีโดยไม่หยุด อาจทำให้เกิดอาการขาดน้ำ แขนขาชา กล้ามเนื้อลีบ อาจเดินไม่ได้ แต่เมื่อหยุดรับประทานอาการเหล่านี้จะหายไป

ข้อควรระวัง : หากใช้เกินขนาดจะมีผลกดระบบภูมิคุ้มกัน
ข้อห้ามใช้ : ยังไม่พบรายงาน
ปฏิกิริยาสัมพันธ์กับยาอื่นหรืออาหาร : ยังไม่พบรายงาน
ข้อควรคำนึงในการดื่มน้ำหญ้าเทวดาสด
1. หญ้าเทวดาเป็นสมุนไพรคลุมดิน ต้นหญ้าเทวดามีเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินปนเปื้อนมามีต้นและใบของหญ้าเทวดาได้มากมาย การนำหญ้ามาใช้ต้องมั่นใจว่าได้ล้างหญ้าหลาย ๆ ครั้งจนปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ เพราะถ้าล้างไม่สะอาดพอการดื่มหญ้าเทวดาสด ๆ ก็เป็นการดื่มเชื้อจุลินทรีย์ในดินเข้าไปในร่างกายผู้ป่วยมะเร็งซึ่งมักมีภูมิต้านทานต่ำ อาจเป็นอันตรายมากกว่าคนปกติมาก
2. หญ้าเทวดามีรูปร่างลักษณะคล้ายกับหญ้าอื่น ๆ หลายชนิด เช่น หญ้ามาเลเซีย เป็นต้น ซึ่งหญ้าอื่น ๆ จะไม่มีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยดังเช่นหญ้าเทวดา เคยมีผู้บริโภคที่ซื้อหญ้าปักกิ่งตามท้องตลาดมาบริโภค แต่เมื่อนำต้นดังกล่าวไปให้คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลพิสูจน์แล้ว ปรากฎว่าเป็นหญ้าอื่นที่มีลักษณะคล้ายหญ้าปักกิ่งซึ่งไม่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วย ดังนั้นก่อนซื้อมาบริโภค ต้องมั่นใจว่าเป็นหญ้าเทวดาแท้จริง
3. หญ้าเทวดาที่มีคุณประโยชน์ต่อผู้ป่วยต้องเป็นต้นที่มีอายุที่เหมาะสม กล่าวคือ หากเป็นหญ้าที่ปลูกโดยการชำกิ่ง ต้องมีอายุ3 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าเป็นหญ้าที่ปลูกจากการเพาะเมล็ดต้องมีอายุมากกว่า 5 เดือนขึ้นไป หญ้าเทวดาที่อายุยังไม่ครบเวลาดังกล่าวได้มีการศึกษาแล้วพบว่าสาร G1b ไม่มีการสร้างในต้นที่อายุยังไม่ครบ ดังนั้น การซื้อหญ้าเทวดามาบริโภคต้องมั่นใจว่าต้นนั้น ๆมีอายุครบเกณฑ์กำหนดตามวิธีการเพาะชำนั้น ๆ แล้ว จึงจะได้คุณประโยชน์ดังประสงค์ มิฉะนั้นก็จะเป็นการบริโภคหญ้าเทวดาที่ไม่มีคุณสมบัติที่ต้องการพัฒนาการหญ้าเทวดาสู่มาตรฐานสากล
สถาบันวิจัยและพัฒนาขององค์การเภสัชกรรมได้นำหญ้าเทวดามาพัฒนาเป็นยาเม็ดโดยใช้ส่วนประกอบทุกอย่างเป็น
สารธรรมชาติ แม้กระทั่งสีที่ใช้เคลือบยาเม็ดก็ได้สีเขียวของคลอโรฟิลล์ของพืช วัตถุดิบและเทคนิคการผลิตทั้งหมดเป็นภูมิปัญญาของคนไทยล้วน ๆ ไม่พึ่งพาต่างชาติ แต่การประกันคุณภาพเทียบเท่ามาตรฐานสากล
การพัฒนาในรูปของยาเม็ดหญ้าเทวดานอกจากอำนวยความสะดวกให้กับผู้ป่วยและญาติผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยแล้วยัง
ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับคุณค่าของหญ้าเทวดาตามต้องการสม่ำเสมอ เพราะยาเม็ดหญ้าเทวดาทุกเม็ดได้ผ่านกระบวนการผลิตและควบคุมคุณภาพด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เพื่อประกันคุณภาพของยาให้ยาทุก 2 เม็ด มีคุณค่าเทียบเท่ากับต้นหญ้าเทวดาสดจำนวน 3 ต้นดังตัวอย่าง chromatogram วิเคราะห์คุณภาพของยาเม็ดหญ้าเทวดา
ยาเม็ดหญ้าเทวดานับเป็นก้าวสำคัญของพัฒนาการเภสัชกรรมไทยเพราะการผลิตตั้งแต่วัตถุดิบจนเป็นยาเม็ดสำเร็จรูป
ใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยีของคนไทยทั้งหมด เป็นผลิตภัณฑ์แห่งความภาคภูมิใจที่สำเร็จได้ด้วยภูมิปัญญาของเภสัชกรไทยผลิตภัณฑ์นี้ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและช่วยลดการพึ่งพาต่างประเทศในการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง ขนาดรับประทานและระยะเวลาการรับประทานสรุปได้ดังนี้
ขนาดรับประทาน :รับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ตามน้ำหนักตัวของผู้ป่วย
ผู้ใหญ่ (น้ำหนักตัว 40 กิโลกรัม) รับประทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง และก่อนนอน
เด็ก (อายุ 6-12 ขวบ) และผู้ใหญ่น้ำหนักตัวต่ำกว่า 40 กิโลกรัม รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
เช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง และก่อนนอน
เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ (น้ำหนักตัวต่ำกว่า 20 กิโลกรัม) ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
ระยะเวลาของการรับประทาน :
การใช้ยานี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรรับประทานยานี้เป็นรอบโดยรับประทาน 7 วันแล้วหยุด 4 วันสลับกันไปแล้วเริ่ม
รับประทานรอบใหม่ต่อไป ระยะเวลาการรับประทานขึ้นกับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้
กรณีใช้ลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง รับประทานควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน
โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน การหยุดรับประทานเป็นช่วง ๆ เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน
กรณีป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำผู้ป่วยมะเร็งหลังจากได้รับการรักษาแล้ว ต้องการป้องกันการแพร่
กระจาย และการกลับเป็นซ้ำอีก ให้รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง กรณีการใช้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ที่ไม่ได้เป็นมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เฉพาะช่วงที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ขณะติดเชื้อไวรัส

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เริ่มรักษาด้วยสมุนไพร ตอนที่3

เช้านี้พ่อเอาหญ้าปักกิ่งที่พี่สมานซื้อมาจากกทม.มากำมือหนึ่ง แช่ไว้ในน้ำด่างทับทิมเพื่อฆ่าเชื้อโรคฯลฯสักพักหนึ่งแล้วล้างน้ำสะอาดอีกที ก่อนที่พ่อจะปั่นด้วยน้ำต้มสุกจนได้นำ้หญ้าปักกิ่งแก้วใหญ่ๆ พ่อเอาใส่ตู้เย็นให้แกดื่มไปเรื่อยๆ แกบอกว่าชอบดื่ม มันชื่นใจดี ก่อนที่เราจะทานอาหารเช้า พ่อให้แกไปเด็ดใบฮว่านงอกที่พ่อปลูกไว้ข้างๆบ้านเรา7-10 ใบทานก่อนทานอาหารสัก15-20 นาที

พ่อหุงข้าวกล้องใส่ลูกเดือยข้าวบาร์เลย์ให้แกทาน พ่อทำแกงแคลูกผสมคือมีผักพื้นบ้านสารพัดอย่างแต่ไม่เผ็ดและไม่ใส่ผงชูรสเด็ดขาด พ่อนึกว่าแกทานไหว แต่หลังจากทานไปแล้วแกบอกว่ามันอืดท้อง พ่อก็รู้ว่าจะต้องเปลี่ยนอาหารให้อ่อนกว่านี้

ก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้เราจะเปลี่ยนอาหารใหม่ แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราออกไปหาเอาใบมะรุมมาต้มกินกัน พ่อพาพี่สมาน พี่ต้อยและพี่ป้อ ขับรถออกไปหาใบมะรุมมาลวกกินกับน้ำพริก รอบๆหมู่บ้านเรามีต้นมะรุมเยอะ พ่อเอากิ่งมันมาปักชำด้วย

ลุงต๋องว่าจะส่งชาเจียวกู้หลั่นมาให้ก็ว่าจะไปเปิดตู้ไปรษณีย์ว่ามาแล้วหรือยัง จะได้เอามาต้มกินกัน อ่านรายละเอียดของสมุนไพรเหล่านี้ดูนะว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้างนะ

คืนนี้อธิษฐานร่วมกันเสร็จแล้วก็ไปนอน พ่อเปิดบทเรียนดีวีดี โรงเรียนพระคริสต์ให้พี่สมานฟัง แกบอกว่าฟังแล้วนอนหลับสบายดี พ่อก็ไม่รู้ว่าบทเรียนมันชวนนอนขนาดนั้น

ไปรับพี่สมานกลับบ้าน ตอนที่ 2

พี่สมานโทรฯมาบอกพ่อว่าคืนนี้เขาจะออกเดินทางจากเชียงใหม่มาหาพ่อที่ปากช่อง แต่จะไปลงที่หมอชิตก่อนแล้วค่อยต่อรถไปปากช่อง เพราะเขาจะต้องไปลาออกจากงานที่กรุงเทพฯก่อน พอดีพ่อก็อยากจะให้พี่สมานแวะไปซื้อหญ้าปักกิ่งที่กรุงเทพฯให้ด้วย หญ้าปักกิ่งที่พ่อปลูกไว้ที่ปลูกไว้กลัวว่าจะไม่พอ พอพี่สมานมาถึงมวกเหล็กก็โทรฯมาบอกว่าใกล้จะถึงแล้ว เวลานั้นพ่อขับรถออกจากบ้านไปรับเขาที่โลตัส เห็นพี่สมานนั่งคอยที่ทางเข้าโลตัสพ่อก็กวักมือเรียก พี่สมานก็ยังมีเค้าหน้าเหมือนเดิมแม้ว่าไม่ได้เห็นหน้าเขาเป็นเวลาเกือบ 20 ปีแล้วก็ตาม ผอมลงมาก ตาเหลือง ก็พอจะรู้ว่าเขาไม่สบาย คงจะเจ็บปวดมาก น่าสงสาร พ่อเอาจอย เบนนี่และพอลไปด้วย พี่สมานไม่เคยเห็นรุ่นนี้มาก่อน ตอนที่พี่สมานเรียนอยู่กับเรา ตอนนั้นเรามีลูกเพียง 4 คนเท่านั้น

ตลอดทางกลับบ้าน พ่อกับพี่สมานก็คุยกันแต่เรื่องเก่าๆในอดีต พ่อปล่อยให้พี่สมานคุยให้ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ เพื่อนรุ่นนั้นทำอะไรที่ไหนอย่างไร ส่วนใหญ่พ่อก็ไม่ค่อยจะได้ข่าวจากศิษย์เก่าเท่าไหร่นัก ก็พอจะได้ความว่าพี่สมานหลังจากที่ออกจากสถาบันไปแล้วก็ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ที่ เชียงใหม่ เพราะมีภรรยาเป็นคนเชียงใหม่ มีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 16 คนเล็ก 14 ปี เคยทำงานเป็นช่างซ่อมรถยนต์ศูนย์มิตซูฯ15ปีก่อนที่จะออกไปทำงานบนเรือโดยสารใหญ่ที่ส่งของไปทั่วโลก มีเงินเก็บไว้พอสมควร แต่โดนคนโกงไม่เหลืออะไรเลย ก็น่าสงสารครอบครัวนี้จริงๆ

พี่สมานเคยมาอยู่ที่บ้านเราที่ปากช่อง สมัยที่เมื่อคุณตาพานักศึกษาไปบุกเบิกใหม่ๆเกือบ 20 ปีมาแล้ว แต่เดี๋ยวนี้อะไรก็เปลี่ยนไปหมดแกจำอะไรไม่ได้เลย นอกจากป้ายไม้ที่บอกชื่อสถาบันสมัยที่แกเป็นนักศึกษาอยู่ พ่อก็ยังไม่เอาออกไป แกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อพ่อชี้ให้แกดูป้ายที่แกทำไว้

แม่จำพี่สมานได้ คืนนั้นหลังจากที่เรานมัสการร่วมกันเสร็จ ก็พาแกไปพักที่อาคาร7 ที่ป้าหล้ากับลุงเคนเพิ่งซ่อมแซมเสร็จไปได้2วันนี้เอง พี่สมานเป็นแขกคนแรกของอาคารใหม่เอี่ยม พ่อบอกให้แกนอนหลับให้สบาย พรุ่งนี้เช้าเราค่อยเริ่มโปรแกรมสมุนไพรรักษามะเร็งตับกับการยึดพระสัญญาของพระเจ้ากัน

ต้นไม้รักษาโรค ตอนที่1


เมื่อลูกศิษย์โทรศัพท์มาบอกพ่อว่า เขามีเวลาเหลือ 3 เดือน หมอบอกว่าเป็นมะเร็งตับขั้นสุดท้าย ในเวลานั้นพ่อนึกถึงคุณปู่ของลูกที่ท่านจากโลกนี้ไปด้วยมะเร็งตับเช่นเดียวกัน พ่อก็เลยว่าจะทุ่มเทเวลาค้นคว้าหาความรู้ต่างๆของการรักษาโรคมะเร็งนี้ บทความต่างๆในบล็อคนี้ก็จึงเป็นข้อมูลที่พ่อไ้ด้เสาะหามาเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้นพ่อก็ได้ใช้เวลาอธิษฐาน ทำอาหาร ทำน้ำปั่นสมุนไพรต่างๆให้ลูกศิษย์คนนี้อยู่ทุกวันนี้ คอยเช็คอาการเจ็บของเขาทุกวัน ก็มีดีบ้างเลวบ้างในแต่ละวัน
โปรแกรมที่พ่อจัดให้พี่สมานก็คือว่า ช่วงเดือนแรกนี้ ต้องปรับโครงสร้างพี่สมานใหม่ พ่อหมายถึง ในช่วงนี้จะต้องค่อยๆปรับการกินการอยู่ของพี่สมานเพื่อการรักษาเสียก่อน เพราะร่างกายพี่สมานอยู่ในสภาพอ่อนแอมากจากอาหารการกินที่พี่สมานเคยทานๆมา เราจะต้องให้ร่างกายแข็งแรงด้วยพืชผักเสียก่อน หยุดให้อาหารมะเร็ง พวกเนื้อ ของรสจัดผงชูรส ของหมักของดอง ของย่างของเผา อาหารแสลงบางอย่าง
ขณะเดียวกันพ่อก็จะเสริมกำลังใจด้วยพลังความเชื่อแห่งพระวจนะของพระเจ้า โดยเฉพาะข้อพระสัญญาเกี่ยวกับการรักษาโรคของพระเจ้า พัฒนาชีวิตให้มีจิตใจเบิกบาน ร่าเริง หัวเราะ มีสันติสุข สงบ ศึกษาพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน หลังจากนั้นก็จะฝึกพี่สมานให้รู้จักการกล่าวถ้อยคำแห่งอำนาจ การรู้จักอ้างสิทธิ์แต่ไม่ใช้บงการพระเจ้า รู้จักการคร่ำครวญพระวจนะของพระเจ้า สุดท้ายก็จะเป็นพวกอาหารเสริม สมุนไพรต่างๆที่มีการวิจัยรับรองว่าใช้ได้ดี ไม่ใช่งมงายรักษาได้ร้อยแปด
ลูกๆอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรก็บอกด้วยนะ

อัศจรรย์ยังมีอยู่ สุดแต่ว่าเราจะไข่วคว้าเอาได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง