วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

สมุนไพรลดความดัน



กระเทียม ซอยกระเทียมสดประมาณครึ่งช้อนชา กินพร้อมอาหารวันละ 2 - 3 ครั้งหรือจะใช้วิธีเคี้ยวกระเทียมสด ๆ ก็ได้ อย่ากินตอนท้องว่าง เพราะฤทธิ์ร้อนของกระเทียมจะทำให้แสบกระเพาะได้

ขึ้นฉ่าย เลือกต้นสดมาตำ คั้นเอาแต่น้ำดื่ม หรือใช้ต้นสด 1 - 2 กำมือ ตำให้ละเอียดต้มกับน้ำ แล้วกรองเอากากออก ใช้รับประทานครั้งละ 1 - 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร หรือกินเป็นผักสดผสมในอาหารก็ได้

กาฝากมะม่วง ใช้กาฝากของต้นมะม่วง นำมาตากแห้งต้มน้ำดื่มต่างน้ำชาหรือตากแห้งคั่วแล้วชงดื่ม ในบางท้องถิ่นให้ใช้กาฝากสดนำใบและกิ่ง 1 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม

กระเจี๊ยบแดง ใช้กลีบเลี้ยงแห้ง ต้มน้ำหรือชงน้ำร้อนกินเป็นชากระเจี๊ยบ ช่วยลดความดันโลหิต ลดคอเลสเตอรอลได้ แก้นิ่ว และลดไข้

บัวบก ในตำรายาไทยทั่วไปใช้เป็นยาบำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย ขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน แต่มีตำรายาพื้นบ้านที่นำมาใช้ลดความดันโลหิตสูง โดยใช้ต้นสด 1 หรือ 2 กำมือ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม

ยังมีสมุนไพรอื่น ๆ ที่ใช้ปรุงอาหารเป็นประจำและมีสรรพคุณช่วยลดความดันได้ เช่น ขิง ขี้เหล็ก ผักชี ผักชีฝรั่ง มะขาม แมงลัก เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

25 ข้อคิด พิชิตโรคภัย

  1. การดื่มน้ำปริมาณมากในเวลาอันรวดเร็วอาจก่อให้เกิดสภาวะน้ำเป็นพิษเนื่องจาก เลือดเจือจาง ร่างกายจึงขับโปแตสเซียมออกจากเซลล์เพื่อปรับสมดุลระหว่างน้ำในเซลล์และนอก เซลล์ ผลที่ตามมาคือเป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็ง หากเกิดอาการเกร็งที่สมอง หัวใจ หรือปอด จะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้ แต่ไม่ต้องกังวลจนเกินไปเพราะหากดื่มน้ำทีละเล็กทีละน้อย แม้ดื่มมากกว่าปกติก็ไม่เป็นอันตรายเพราะไตจะขับออกมาเป็นปัสสาวะ และถ้าเมื่อไรมีอาการจุกนั่นแสดงว่าดื่มน้ำมากไป ควรหยุดได้แล้ว     

 2. การปล่อยให้ตนเองหิวอาจนำไปสู่โรคร้าย เพราะความหิวกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนความเครียด ซึ่งหากเกิดขึ้นเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวานได้ ลองควบคุมความหิวด้วยการแบ ่งมื้ออาหารจากวันละ 3 มื้อเป็นมื้อเล็กๆ 5-6 มื้อต่อวัน

3. ชา กาแฟ รวมถึงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลังเพราะคาเฟอี นลดการหลั่งสารเอนโดรฟีนซึ่งเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายผลิตขึ้นและมีฤทธิ์ลด อาการปวดตามอวัยวะต่างๆ


 4. วิธีง่ายๆในการดูแลสุขภาพคือหลังจากตื่นนอนทุกเช้า จะดื่มน้ำส้มสายชูที่หมักจากผลแอ๊ปเปิ้ล ผสมกับน้ำผึ้งอย่างละ 1 : 1 ใส่น้ำอุ่นคนให้เข้ากันแล้วค่อยเติมน้ำแข็งลงไปเพื่อให้ทานง่ายและมีรสชาติ ดีขึ้น ซึ่งวิธีนี้จะไปช่วยการดูดซึมของระบบลำไส้ และการเผาผลาญของร่างกาย แต่โรคบางโรคอาจเกิดจากสุขภาพจิตที่อ่อนแอ ในหนึ่งอาทิตย์จึงควรจะมีวันพักผ่อนอย่างจริงจังหรือทำกิจกรรมที่ผ่อนคลาย เช่น เล่นโยคะ เพื่อฟื้นฟูสุขภาพกายและลดมลภาวะทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน


 5. การนอนดึกคืนวันศุกร์-เสาร์แล้วตื่นสายในวันเสาร์-อาทิตย์ทำให้นาฬิกาชีวภาพ ของร่างกายตั้งเวลาตื่นใหม่ เมื่อถึงวันจันทร์จึงมีอาการอิดเอื้อนไม่อยากตื่น ทั้งยังทำให้ขาดสมาธิในก ารทำงานหรือเรียนหนังสืออีกด้วย
6. แสงแดดยามเช้าไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงเท่านั้น แต่การออกกำลังกายกลางแดดใน ช่วงเวลาดังกล่าวยังช่วยให้ร่างกายผลิตสารเอนโดรฟีน ซึ่งเป็นสารต่อต้านอาการซึมเศร้าตามธรรมชาติอีกด้วย


7. ความเครียดเป็นตัวการทำลายผิวที่ร้ายแรงที่สุด ฉะนั้นเราต้องปรับความคิดใหม่ และใช้ร่างกายเราอย่างทะนุถนอมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม หาเวลาออกกำลังกายบ้าง และรับประทานอาหารดีๆ


 8. แอ๊ปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี มีประโยชน์ แต่ถ้าคุณรับประทานยาปฏิชีวนะอยู่ควรหลีกเลี่ยงผลไม้เหล่านี้เพราะบูดง่ายใน ลำไส้ อาจเกิดการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้


 9. การไอเรื้อรังอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะที่แพทย์สั่งเพื่อรักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ให้ใช้วิธีที่สุดแสนธรรมดาแต่ได้ผลมากกว่าคือ ดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ อมยาอมให้ลำคอชุ่มชื่นอยู่ตลอดเวลา และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให ้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ แค่นี้ก็หายแล้ว


10. การที่เราคิดว่าตัวเองมีสุขภาพดี แถมอายุยังน้อย ทำให้เราชะล่าใจในการดูแลรักษาสุขภาพ เวลาเกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับร่างกายจะคิดว่าช่างมัน เดี๋ยวคงหายเอง ซึ่งไม่ถูกต้อง


11. เมื่อมีอาการเท้าและข้อเท้าบวมให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาที แล้วขยับข้อเท้าไปข้าง หน้าและข้างหลัง เพื่อช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงที่ขนทำจากวัสดุธรรมชาติ แปรงผิวหนังเบาๆ เริ่มบริเวณฝ่าเท้าซึ่งเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย แล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวาน เพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) จากนั้นอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้

12. ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานและรับประทานไข่มากกว่าอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เสี่ยงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น


13. ผู้ที่รับประทานไข่เป็นเวล า 8 อาทิตย์ลดน้ำหนักได้มากกว่าผู้ที่ไม่รับประทานถึง 65 เปอร์เซ็นต์ และรอบเอวลดลงเกือบสองเท่า เพราะผู้ที่รับประทานไข่รู้สึกอิ่มกว่าการรับประทานขนมปัง ทำให้รับประทานอาหารกลางวันและอาหารเย็นน้อยลง


14. การรับประทานอาหารไปดูหนังไปทำให้รับประทานอาหารมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าจะกินอิ่มมาแล้วหรือรสชาติของอาหารไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม นอกจากนี้ไฟสลัวๆ ทำให้ผู้ที่รับประทานอาหารไม่ค่อยระวังตัว เพลิดเพลินเจริญอาหารไปเรื่อย

15. เสียงเพลงมีอิทธิพลต่ออารมณ์ของคนเรายิ่งดนตรีมีจังหวะเร็วเท่าไรก็ยิ่ง กระตุ้นให้รับประทานอาหารมากขึ้นเท่านั้น

16. การดื่มน้ำ(เปล่า)เย็น 50 ออนซ์ (8 ออนซ์= 1 ถ้วย) จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50แคลอรี เท่ากับช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 5 ปอนด์หรือ 2.5 กิโลกรัม เพราะการดื่มน้ำเปล่าไม่ทำให้ร่างกายได้รับพลังงาน แต่ต้องใช้พลังงานในการเผาผลาญน้ำ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำเย็นทำให้ร่างกายต้องใช้พลังงานเผาผลาญมากขึ้นอีก

17. การออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและพิลาทิส ควบคู่กันไปจะช่วยพัฒนาความแข็งแรงของปอดและหัวใจ รวมถึงความแข็งแรงและยืดหยุ่นของโครงสร้าง และการรับประทานอาหารมื้อย่อยๆ 5 มื้อต่อวัน โดยมื้อกลางวันจะเน้นอาหารประเภทโปรตีนเพียง 1 มื้อ นอกนั้นเน้นผักและผลไม้ จะทำให้มีพลังงานที่พอเหมาะในการใช้งาน และไม่ทิ้งไขมันส่วนเกินสะสม

18. ผู้ชายที่รับประทานมะเขือเทศซึ่งมีไลโคปีนสูงอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้นเสี่ยงเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ วิธีง่ายๆ ให้นำมะเขือเทศไปปั่นให้ละเอียดเติมน้ำมันมะกอกและนำไปปรุงสุก ความร้อนจะช่วยให้มะเขือเทศปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

19. รับประทานแอ๊ปเปิ้ลหนึ่งชิ้นหลังอาหาร ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญใน การลดแบคทีเรียในช่องปากและช่วยให้เหงือกแข็งแรง การรับประทานสับปะรดและมะละกอคือก่อนอาหารประมาณ2-3 ชิ้น ดีต่อกระเพาะอาหารเพราะมีเอนไซน์ซึ่งช่วยย่อย จึงเท่ากับช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่ตามลงมาได้ง่ายขึ้น

20. หากไม่อยากมีกรดในกระเพาะมากเกินไปควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่าง เช่นมะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุ๊ต หรือน้ำมะเขือเทศสดปั่น หรือทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำเข้าไป

21. การเล่นเกมคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะเกมที่ต้องใช้สมาธิ ช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคอัลเซเมอร์ได้ เกมอื่นๆ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ หรือเลือกเรียนดนตรี ก็ช่วยได้เช่นกัน

22. การใช้พลาสติกใส่อาหารหรือปิดอาหาร รวมถึงใส่จานชามพลาสติกในไมโครเวฟ เพราะความร้อนจะทำให้พลาสติกปนเปื้อนในอาหาร เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

23. ก่อนตั้งครรภ์ควรเตรียมตัวล่วงหน้าประมาณ 3 เดือน 1.ดูแลเรื่องอาหารการกิน เน้นโฟเลต แคลเซียม วิตามินต่างๆ ป้องกันอาการแพ้ท้องหรืออยากอาหารประหลาดๆ 2.ระวังเรื่องการรับประทานยาทุกชนิด อ่านฉลากให้ดี เพราะอาจทำร้ายลูกโดยไม่เจตนา 3.ทำใจให้สบาย คิดในแง่บวก 4. ออกกำลังกายที่เหมาะสม

24. ถ้ามื้อนั้นรับประทานเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก ไม่ควรรับประทานผลไม้อีก เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ทำให้ผลไม้ที่ย่อยเสร็จไปเรียบร้อยแล้วถูกกักอยู่ในกระเพาะ เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทความที่พ่อลองทำแล้วใช้ได้

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่ คุณคิดไม่ถึงนะ จะบอกให้

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)

2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ

3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป

4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้(เรื่องหายโรคนี้ไม่ต้องซีเรียส หลังดื่มไปสักพักเราจะรู้สึกดีขึ้นเยอะเลย)

1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน

2. โรคกระเพาะ 10 วัน

3. โรคเบาหวาน 30 วัน

4. โรคท้องผูก 10 วัน

5. โรคมะเร็ง 180 วัน

6. โรควัณโรค 90 วัน

7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน

วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552

พี่สมานกลับบ้าน ตอนที่ 14

พี่สมานมาอยู่กับเราได้เกือบเดือนแล้ว อาการก็ดีขี้นมาก แท้จริงแล้วเกินคาดที่หมอบอกว่าเหลือเวลาเพียงแค่ 3 เดือนเอง นี่ก็หนึ่งเดือนผ่านไป พี่สมานเป็นนักสู้จริงๆ บางครั้งแทบน้ำตาไหลเมื่อเห็นพี่สมานเจ็บปวดมากๆ แต่พี่สมานก็กัดฟันสู้ สิ่งหนึ่งที่พี่สมานอยู่ได้ก็เพราะกำลังใจและความเชื่อในพระเจ้าของพี่สมานเอง พ่อนึกถึงคนป่วยที่ท้อแท้ใจหมดกำลังใจก็มักจะจากไปเร็ว แต่ถ้าจิตใจเข้มแข็งเชื่อมั่นในพระเจ้าว่าพระเจ้าประทานชีวิตไม่ใช่ความตาย เป็นสิทธิ์ของผู้เชื่อที่จะอ้างพระสัญญานี้ได้แน่นอน ไม่ใช่เป็นการบงการพระเจ้าหรือไม่ยอมทำตามน้ำของพระเจ้า แต่มีพระคำของพระเจ้าที่บอกว่า"ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์" ยอห์น 10.10 อันนี้เป็นพระสัญญาจากพระเยซูคริสต์เจ้าโดยตรง ที่พระองค์สิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อเราจะหลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่งทุกประการจากวิญญาณชั่วร้าย เราจึงมั่นใจได้เลยว่ามรดกแห่งพระสัญญานี้พระองค์ได้มอบให้แก่เราแล้วเมื่อ 2000 ปี สู้ๆๆๆ พระเจ้าอยู่เคียงค้างเรา วันนี้ครอบครัวพี่สมานก็มารับพี่สมานกลับไปเชียงใหม่เพื่อไปดูแลต่อที่โน่น

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สมานอืดท้อง ตอนที่ 13


สองสามวันมานี้ สมานบอกว่าอาการเจ็บท้องมากๆจนทนไม่ได้นั้นไม่มีอีกแล้ว แต่ก็ยังเจ็บนิดๆ แต่ท้องอืดจนไม่อยากทานอะไร พ่อยังทำข้าวต้มมังสะวิรัตให้อยู่ น่าสงสารพี่สมานก็อยากจะทานเหมือนพวกเรา พ่อก็จำต้องทานด้วยกันเป็นเพื่อนกับพี่สมาน แต่วันนี้หน้าตาพี่สมานดีขึ้นเยอะ หน้าตา มือไม้มีสีแดงขึ้นมาบ้างแล้ว ผิดกับที่มาวันแรก เหลืองไปหมดทั้งตัว วันนี้ต้องไปโคราชทำฟันและส่งใบแจ้งทะเบียนรถหาย สมานขอฝากซื้อยาลดกรดแก้ท้องอืดX-Air ยาลดกรดแก้ท้องอืดมีหลายอย่างก็เลยเอามาให้หลายๆอย่าง กลับจากโคราชถามว่าวันนี้เป็นอย่างไร สมานบอกว่าไม่เจ็บเลย ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ตารางทานสมุนไพรของสมานก็คือเมื่อตื่นมาก็ไปอธิษฐานร่วมกันกับพ่อและพี่ต้อย จากนั้นก็ทานใบฮว่านงอก7-10ใบ ช่วงนั้นพี่ต้อยก็จะทำอาหารเช้า พ่ออยากจะให้คอยสัก 30 นาทีก่อนทานอาหารหลังจากที่ทานใบฮว่านงอก จากนั้นก็ทานข้าว ส่วนมากจะเป็นผัก พ่อก็หนักใจว่าอยากจะให้พี่สมานทานผักเยอะๆแต่ผักส่วนมากก็เต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ต้องเอาเครื่องโอโซนมาล้างสารพิษพวกนี้ออกให้หมดก่อน ตลอดทั้งวัน ถ้าหิวน้ำพ่อปั่นน้ำหญ้าปักกิ่งไว้ให้แกดื่ม สลับกับน้ำใบมะรุม พ่อปั่นน้ำฝรั่งขี้นกที่ต้นหลังบ้านพี่ต้อยผสมกับมะยมและเชอรรี่ไทยเพิ่มสีสันและรสชาด ไม่ใส่น้ำตาล เอาใส่ไว้ในตู้เย็นใครอยากจะเติมน้ำตาลก็ช่วยเหลือตัวเองก็แล้วกัน หลังจากทานอาหารเย็นแล้วก่อนนอนก็ให้พี่สมานดื่มชาเจียวกู่หลานอีกแก้วหนึ่ง ทั้งหมดนี้ก็เป็นแผนการใช้สมุนไพรเคร่าๆของพี่สมาน บางครั้งที่แกเหนื่อยมากๆหรือเจ็บขึ้นมาเมื่อใด พ่อก็จะทำเอโดซี่ให้แกดื่ม เป็นอาหารเสริมเพิ่มกำลัง ของพวกนี้มีอย.กำกับไว้หมด พ่อไม่อยากเสี่ยงใช้ยามั่วๆไปหมด หรือเยอะแยะจนอะไรเป็นอะไรไม่รู้เรื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ขมิ้นชัน ตอนที่ 12


ขมิ้นชันรักษาได้หลายโรค

ขมิ้นชัน
ขื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn.
วงศ์ ZINGIBERACEAE
ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) หมิ้น (ภาคใต้)
ลักษณะ พืชล้มลุกมีเหง้าอยู่ใต้ดินเนื้อในของเหง้า ขมิ้นชันมีสีเหลืองเข้ม จนสีแสดจัด
มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ใบรูปเรียวยาวปลายแหลมคล้ายใบพุทธรักษา ดอกออกเป็นช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ออกตรงกลางระหว่างใบคู่ในสุดดอกสีขาว มีแถบสีเหลืองคาด มีกลีบประดับสีขาวหรือเขียว
ส่วนที่นำมาใช้เป็นยา คือ เหง้า (สดและแห้ง)
เหง้าของขมิ้นชันมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ แบคทีเรีย เชื้อรา ลดการ อักเสบ และ มีฤทธิ์ในการ ขับน้ำดี น้ำมันหอมระเหย ในขมิ้นชัน มีสรรพคุณบรรเทา อาการปวดท้อง ท้องอืด แน่นจุดเสียด
การใช้ขมิ้นชัน แก้แพ้แก้อักเสบ แผล ฝีพุพอง แมลงสัตว์กัดต่อยภายนอก โดยใช้เหง้ายาวประมาณ 2 นิ้ว ฝนกับน้ำต้มสุกทาบริเวณที่เป็น วันละ 3 ครั้ง หรือใช้ผงขมิ้นโรยทาบริเวณที่มีอาการ ผื่นคันจากแมลงสัตว์กัดต่อยได้ อาการ ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น จุกเสียดและอาหารไม่ย่อย ใช้เหง้าขมิ้น ไม่ต้องปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัด ๆ สัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นเม็ดขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทานครั้งละ 2-3 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้ามีอาการท้องเสียให้หยุดยาทันทีนอกจากโรคเกี่ยวกับท้องแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกายและช่วยบำรุงตับ รักษาระบบทางเดินหายใจที่ผิดปกติ หืด ไอ เวียนศีรษะ รักษาอาการปวดและอักเสบเนื่องจากไขข้ออักเสบอีกด้วยคะเพราะว่ามีฤทธิ์ลดการ อักเสบ ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ เพิ่มภูมิคุ้นกันให้แก่ร่างกาย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอง มีฤทธิ์ขับน้ำดีช่วยในการย่อยและป้องกันไม่ให้เป็นนิ่วในถุงน้ำดี มีฤทธิ์ขับลม และมีการศึกษาการใช้ขมิ้นชันรักษาโรคกระเพาะในประเทศไทย (โรงพยาบาลศิริราช) พบว่า ได้ผลดีพอควร
การค้นพบสรรพคุณใหม่ๆ ของขมิ้นชันอีกมากมาย เช่น การป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด การชลอความแก่ การเป็นสารต้านมะเร็งและเนื้องอกต่างๆ พบว่า การกินอาหารผสมขมิ้นสามารถทำลายเชื้อไวรัสที่ผ่านมาทางอาหารได้ รวมทั้งสามารถป้องกันมะเร็งจากสารก่อมะเร็งต่างๆ และยังมีสรรพคุณในการต้านไวรัส โดยเฉพาะเชื้อ HIV อันเป็นต้นเหตุของโรคเอดส์ ขมิ้นชันจึงเป็นอีกความหวังหนึ่งของผู้ป่วยเอดส์
แต่การเลือกขมิ้นชันมากินนั้น หากต้องเลือกเอง ขุดเอง ควรเลือกขมิ้นชันที่ได้คุณภาพ คือ ขมิ้นชันต้องมีอายุอย่างน้อย 9-12 เดือน จึงสามารถขุดเหง้ามาทำยาได้ และต้องไม่เก็บไว้นานเกินไป จนน้ำมันหอมระเหยหายหมด และต้องไม่ลืมว่า แสงมีปฏิกิริยากับสาระสำคัญคือ เคอร์คิวมินในขมิ้นชัน จงต้องเก็บให้พ้นแสงด้วย มิฉะนั้นจะได้รับประทานแต่การขมิ้นชันแน่ๆ
จะเห็นได้ว่าขมิ้นชันนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งทาและกินเชียว
ในสมัยก่อนนั้น ภูมิปัญญาท้องถิ่นพื้นบ้านของไทยได้มีการนำขมิ้นมาใช้ประกอบอาหารหลายชนิด ใช้ปรุงแต่งกลิ่นและรสในอาหาร โดยเฉพาะอาหารทางภาคใต้ เช่น แกงเหลือง แกงไตปลา แกงกะหรี่ ไก่ทอดขมิ้น เป็นต้น นับเป็นความฉลาดของคนใต้ ที่หาวิธีกินขมิ้นในชีวิตประจำวัน
สำหรับสาวๆ แล้วการใช้ขมิ้นทาผิวหน้าจะทำให้ผิวหน้านุ่มนวล คนมาเลเซียและคนไทยสมัยก่อนจะใช้ขมิ้นในการอาบน้ำ ทำให้ผิวผ่องยิ่งขึ้น วิธีการอาบน้ำด้วยขมิ้นนั้น จะทาขมิ้นหมักไว้ที่ผิวหนังสักพัก แล้วจึงขัดออกด้วยส้มมะขามเปียก นอกจากทำให้ผิวหนังนุ่มนวลแล้ว ขมิ้นยังมีสรรพคุณในการป้องกันการงอกของขน ผู้หญิงอินเดียจึงใช้ขมิ้นทาผิวหนัง เพื่อป้องกันไม่ให้ขนงอก คนพม่าเชื่อว่าถ้าใช้ขมิ้นผสมสมุนไพร ที่ชื่อทาคาน่า ทาผิวเด็กสาวตั้งแต่ยังเล็กๆ จะทำให้เนื้อผิวละเอียดสวยชนิดที่หนุ่มมองได้ไม่วางตาเชียว

พุทธรักษา ตอนที่ 11


นี่ก็เป็นบทความน่าสนใจอีกเกี่ยวกับพุทธรักษารักษามะเร็ง ลองอ่านดูนะ


พุทธรักษา

ชื่ออื่น
พุทธศร (พายัพ), ดอกบัวละวงศ์ (ลำปาง), มุยหยิ่งเจีย, กวงอิมเกีย, เซียวปาเจีย, (จีน) ; Indian Shot.
ชื่อวิทยาศาสตร์
Canna indica L. วงศ์ Cannaceae
ลักษณะต้น
เป็นพืชล้มลุก มีลำต้นใต้ดิน สูงประมาณ 1 เมตร มีแป้งขาวๆ อยู่ที่ผิวและก้านใบ
ใบ ใหญ่รูปรีๆ ยาว 10 – 30 เซนติเมตร ใบแหลม ขอบใบเรียบ หรือเป็นคลื่นน้อยๆ
ดอก อาจเป็นดอกเดียวหรือดอกคู่ มีกลีบก่อนกลีบเลี้ยง 1 ใบ ยาวประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงมี 3 กลีบ ยาวกลีบละประมาณ 1 เซนติเมตร มีสีเขียวอ่อน ปลายแหลมมีสีแดง กลีบดอกส่วนมากสีแดงส่วนโคนติดกันเป็นหลอดยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ส่วนปลายแยกออกเป็น 3 กลีบ ปลายแหลมยาวประมาณ 3 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้ที่เสื่อมสภาพไป 3 อัน มีสีแดงสด ยาวประมาณ 4 เซนติเมตร มีเกสรตัวผู้อยู่ติดกับก้านเกสรเป็นแท่งยาวๆ รังไข่มี 3 ห้อง มีก้านเกสรตัวเมีย 1 อัน ลักษณะเป็นแผ่นแบนยาว
ผล ลักษณะกลม มีหนามไม่แข็งอยู่ภายนอก เส้นผ่านศูนย์กลางยาวประมาณ 2.5 เซนติเมตร
มักพบปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน และริมถนนที่ชุ่มชื้นแฉะ และริมแม่น้ำลำคลองทั่วไป
ปัจจุบัน มีการผสมพันธุ์ได้ดอกสีต่างๆ ตั้งแต่เหลืองอ่อนไปจนถึงสีแดงเข้ม บางต้นก็ออกดอกเป็นพันธุ์ผสม มีดอกสีแดงและเหลืองในช่อดอกเดียวกันมี ที่ใช้ทางยามักใช้ชนิดดอกแดง
การเก็บมาใช้
ใช้ ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) และดอก ลำต้นใต้ดินขุดเก็บได้ตลอดปี ตัดก้านใบและรากฝอยทิ้ง ล้างให้สะอาด หั่นเป็นแผ่นตากแห้งเก็บใช้หรือหรือใช้สดก็ได้
ดอก ก็อาจเก็บมาตากแห้งเก็บไว้ใช้ หรือใช้สดเลยก็ได้
สรรพคุณ
ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) รสขม, เย็นจัด ใช้แก้โรคตับอักเสบ (โรคดีซ่าน) บิดเรื้อรัง, อาเจียนเป็นเลือด, ประจำเดือนมาไม่หยุด, ตกขาว, ประจำเดือนไม่ปกติ และแผลบวมอักเสบ
ดอก รสฝาด สุขุม ใช้ห้ามเลือดในบาดแผลสดและบาดแผลมีหนอง
วิธีใช้และปริมาณที่ใช้
ลำต้นใต้ดิน (เหง้า) ใช้ยาแห้ง หนัก 3 -10 กิโลกรัม ต้มน้ำกิน ภายนอกใช้ตำพอก
ดอก ใช้ดอกแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำกิน ภายนอกใช้ดอกสดตำพอก
ตำรับยา
1. ประจำเดือนมาไม่หยุด ใช้เหง้ากับดอกเข็ม (lxora Chinensis Lam) ตุ๋นร่วมกับไก่กิน
2. แก้ประจำเดือนมาไม่หยุด ตกขาว และปวดฟัน ใช้เหง้าแห้งผสมข้าวเหนียวตุ๋นกับไก่กิน
3. แก้โรคตับอักเสบเฉียบพลันทำให้ตัวเหลืองใช้เหง้าแห้งหนัก 15-30 กรัม (สดหนัก 60-90 กรัม) ต้มน้ำกินประมาณ 1 อาทิตย์จะเห็นผลตัวหายเหลือง
4. ดอกใช้ห้ามเลือดบาดแผลภายนอกใช้ดอกแห้งหนัก 10-15 กรัม ต้มน้ำกิน
รายงานผลทางคลินิก
ใช้ แก้โรคตับอักเสบอย่างเฉียบพลัน มีอาการตัวเหลือง ใช้เหง้าสดหนัก 60 – 120 กรัม (ใช้ไม่เกิน 275 กรัม) ต้มน้ำ แบ่งกินเป็น 2 ครั้ง เช้า – เย็น ติดต่อกัน 20 วันเป็น 1 รอบ ของการรักษา ในระหว่างการรักษาห้ามกินปลา กุ้ง ของเผ็ด จิงฉ่าย และน้ำมัน ของพืชชนิดนี้ด้วย จากคนไข้ตับอักเสบ 67 ราย หาย 58 ราย อาการดีขึ้น 3 ราย ไม่เห็นผล 2 ราย ระยะเวลาของการรักษามีตั้งแต่ 20 วัน 34 ราย, 30 วัน 18 ราย และที่รักษานานที่สุด 45 - 47 วัน 6 ราย นอกจากนั้นยังทดลองใช้ต้นร่วมกับ รากคอเข่า และ ทิแบเปียง ทำเป็นยา ใช้รักษาคนไข้ 100 ราย หาย 92 ราย อีก 8 ราย แก้ไขได้ในขั้นต้น
หมายเหตุ
เหง้า
• อินเดีย ใช้ขับเหงื่อปัสสาวะในอาการไข้และอาการบวมน้ำ
• กัมพูชา ใช้เหง้าต้มให้และคั้นเอาน้ำดื่มแก้คุดทะราด และใช้ชะล้างทำความสะอาดบาดแผล
• มาเลเซีย ใช้เหง้าปรุงเป็นอาหาร
• ชวา ใช้น้ำคั้นจากเหง้าแก้ท้องร่วง
• ไทย แพทย์ตามชนบทใช้เหง้าต้มกินเป็นยาบำรุงปอด แก้อาเจียนหรือไอเป็นโลหิตได้ดี
เมล็ด
ใช้ ทำสร้อยและร้อยเป็นสายประคำ โดยเก็บเมล็ดที่โตเต็มที่แล้วแต่ก่อนที่ผลจะสุกแกะ เปลือกออกนำไปตากแห้ง เมล็ดจะแข็งเป็นสีม่วงเข้ม นำมาเจาะรูร้อยเป็นสายประคำได้สวยงามมาก
• ชวา เขาเอาเมล็ดมาบดเป็นผงพอกตรงขมับแก้ปวดหัวได้
• อินเดีย ใช้ก้านใบผสมกับข้าว พริกไทยและน้ำ ต้มให้เดือดให้วัวกินแก้พิษเนื่องจากไปกินหญ้าพิษเข้า และยังกล่าวว่า ใยจากก้านใบยังใช้แทนปอกระเจาได้ในอุตสาหกรรมทำเชือกและถุงเท้า